Head_From
www.samedaysurgery-yasothon.com

ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids หรือ Piles)

  • ริดสีดวง (Hemorrhoids หรือ Piles) เป็นภาวะที่หลอดเลือดดำที่มีอยู่ตามธรรมชาติของคนทั่วไปในบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพอง (ขอด) เป็นหัว หรือที่เรียกว่า "หัวริดสีดวง" แล้วมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดในขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ จึงทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว โดยมักจะมีอาการของโรคเกิดขึ้นในเวลาท้องผูกหรือเกิดท้องเดินบ่อยครั้ง ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีอาการรุนแรงหรืออันตราย โดยอาจจะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง น่ารำคาญ หรือทำให้วิตกกังวลได้
  • หัวริดสีดวงที่พบอาจมีเพียงหัวเดียวหรือมีหลายหัวก็ได้ ถ้าเกิดจากหลอดเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวหนังตรงปากทวารหนักจะเรียกว่า "ริดสีดวงภายนอก" (External Hemorrhoids) ซึ่งอาจมองเห็นจากภายนอกได้ แต่ถ้าเกิดจากหลอดเลือดอยู่ลึกเข้าไปจะเรียกว่า "ริดสีดวงภายใน" (Internal hemorrhoids) ซึ่งจะตรวจพบได้เมื่อใช้กล้องส่องตรวจไส้โดยตรง
  • "โรคริดสีดวงทวาร โดยตัวมันเองแล้วไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง มักไม่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต แต่อาจทำให้เป็นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ได้ ถ้ายังไม่สามารถควบคุมสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ โดยจะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด และแม้ว่าจะเคยผ่าตัดรักษาริดสีดวงมาแล้ว ก็อาจจะเกิดริดสีดวงหัวใหม่ ทำให้มีเลือดออกได้อีก"

    สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร

  • การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย
  • ภาวะท้องผูกเรื้อรัง ทำให้ต้องเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำ แรงเบ่งจะเพิ่มความดัน และ/หรือทำให้เกิดการเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด จนส่งผลให้หลอดเลือดโป่งพองหรือหลอดเลือดขอดได้ง่าย
  • ท้องเดิน ท้องเสียเรื้อรัง การถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ แรงเบ่งจะเป็นการเพิ่มความดัน และ/หรือทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดได้เช่นกัน
  • อุปนิสัยในการเบ่งอุจจาระ เช่น ชอบเบ่งอุจจาระแรง ๆ หรือพยายามขับอุจจาระก้อนสุดท้ายออกไปให้ได้
  • การเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน จากการเล่นโทรศัพท์มือถือหรืออ่านหนังสือในขณะขับถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงการนั่งแช่ การยืน หรือเดินเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้เกิดการกดทับกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความดัน และ/หรือทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
  • การชอบใช้ยาสวนอุจจาระหรือยาระบายอย่างพร่ำเพรื่อ
  • อาการของโรคริดสีดวงภายนอก
  • มีติ่งเนื้อสีชมพูคล้ำออกมาจากปากทวารหนักเมื่อมีอาการท้องผูกหรือท้องเสีย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด บวม เจ็บ และระคายเคือง (ถ้าไม่เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ก็อาจจะไม่ก่อปัญหาอะไรมากนัก)
  • หากมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดที่โป่งพองจะก่อให้เกิดอาการปวด บวม เจ็บมากขึ้น (แต่มักจะไม่ค่อยพบว่ามีเลือดออกจากติ่งเนื้อนี้) ซึ่งปกติแล้วจะหายเจ็บได้ภายใน 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม กว่าจะหายบวมอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เมื่อหายดีแล้วอาจจะยังมีผิวหนังเป็นติ่งเหลืออยู่ และหากหัวริดสีดวงมีขนาดใหญ่ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือคันบริเวณรอบปากทวารหนักได้ด้วย
  • อาการของโรคริดสีดวงภายใน
  • ส่วนมากจะมีอาการเลือดออกทางทวารหนัก โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างหรือหลังจากถ่ายอุจจาระเสร็จ เลือดที่ออกมานั้นจะมีลักษณะเป็นเลือดสีแดงสด ออกปนมากับอุจจาระ หรือมีเลือดไหลหยดลงในโถส้วม และอาจสังเกตว่ามีเลือดเปื้อนบนกระดาษชำระ (เลือดจะออกมาในลักษณะอาบก้อนอุจจาระ ส่วนตัวก้อนอุจจาระยังเป็นสีของมันตามปกติ ไม่มีมูกปน และเลือดมักจะหยุดไหลได้เอง) ซึ่งอาการเหล่านี้จะมีลักษณะเป็น ๆ หาย ๆ ถ้ามีเลือดออกมากหรือเป็นเรื้อรัง อาจทำให้เกิดอาการซีดตามมาได้
  • ในรายที่เป็นมาก หลอดเลือดจะบวมมาก ทำให้หัวริดสีดวงโผล่ออกมานอกปากทวารหนัก หรือเห็นเป็นก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ปลิ้นโผล่ออกมา ซึ่งในภาวะเช่นนี้จะก่อให้เกิดอาการปวดหรือเจ็บที่ทวารหนักได้ (ถ้าเกิดลิ่มเลือดอุดตันขึ้น ริดสีดวงกลายเป็นก้อนแข็ง หรือเกิดภาวะเซลล์ตายจะทำให้มีอาการเจ็บปวดได้) และอาจจะทำให้เกิดอาการคันและอาการกลั้นอุจจาระไม่อยู่ได้ด้วยเช่นกัน
  • วิธีรักษาริดสีดวงทวาร
  • 1. การรักษาโรคริดสีดวงด้วยตัวเอง

  • แต่ละคนมีอาการรุนแรงไม่เหมือนกัน หากเป็นโรคริดสีดวงในระยะที่ 1 หรือระยะที่ 2 นั้น สามารถรักษาให้หายด้วยตนเองได้ โดยการแช่น้ำอุ่นในกะละมังใบใหญ่ เทด่างทับทิมผสมกับน้ำจนกลายเป็นสีชมพูจางๆ (หรือแช่น้ำอุ่นอย่างเดียวได้) จากนั้นนั่งแช่ลงในกะละมัง 15 - 20 นาที ควรทำทั้งก่อนและหลังถ่ายอุจจาระ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ และลดการขยายตัวของหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก
  • 2. เหน็บยารักษาริดสีดวง

  • ยาเหน็บรักษาริดสีดวงนั้น มีหลายยี่ห้อและหลายชนิด แต่มีตัวยาคล้ายกัน โดยแนะนำให้เลือกยาเหน็บที่มีส่วนผสมของเบนโซเคน 1 กรัม ลาโนลิน 15 กรัม ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญในการรักษาโรคริดสีดวง
  • 3. รักษาโดยการฉีดยา

  • วิธีนี้ ใช้รักษาภายในระยะที่ 1 และ 2 และริดสีดวงที่เลือดออกเยอะ โดยฉีดสารเคมีเข้าไปในตำแหน่งชั้นใต้ผิวหนังบริเวณที่มีขั้วของริดสีดวงอยู่ ทำให้เกิดพังพืดไปอุดกั้นหลอดเลือดที่ส่งเลือดมาที่ริดสีดวง เลือดจะหยุดไหล และริดสีดวงจะฝ่อในที่สุด แต่ขณะฉีดต้องระวังไม่ฉีดเข้าริดสีดวงโดยตรง เพราะจะทำให้สารเคมีเข้าเส้นเลือด นำมาซึ่งการแน่นหน้าอก ปวดท้องด้านบนได้

    ภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา

    อาจทำให้เนื้อริดสีดวงเน่า หรือเนื้อรอบๆ บริเวณที่เน่า กลายเป็นเนื้อตาย
  • 4. การรักษาโดยการใช้ยางรัด

  • โดยการยิงยางรัดหัวของริดสีดวงที่โผล่ออกมา เพื่อให้เกิดการขาดเลือด ซึ่งจะทำให้หัวของริดสีดวงฝ่อและหลุดไปเองตามธรรมชาติ ใช้สำหรับริดสีดวงทวาร ในระยะที่ 1 2 และ 3
  • 5. การผ่าตัด

  • ในระยะที่ 3 และ 4 นั้น ริดสีดวงจะมีขนาดใหญ่มากจนไม่สามารถกลับเข้าไปได้เอง ต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับจำนวนและชนิดของริดสีดวงทวาร รวมทั้งความชำนาญของศัลยแพทย์ เช่น ริดสีดวง 1 – 2 ตำแหน่ง อาจมีการใช้อุปกรณ์พิเศษช่วยในการตัดริดสีดวงทวาร โดยไม่ต้องใช้ไหมเย็บแผล แต่ถ้ามีริดสีดวงทวารตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไป อาจใช้เครื่องมือตัดต่อเยื่อบุลำไส้ชนิดกลม โดยการตัดและเย็บนี้จะเกิดตามแนวเส้นรอบวงของช่องทวารหนัก ซึ่งวิธีการนี้ มีข้อดี คือ สามารถตัดหัวริดสีดวงออกได้ทุกหัว และไม่ทำให้รูทวารหนักแคบลง และแนวเย็บแผลยังอยู่สูงกว่าปากทวารหนัก ผู้ป่วยจะไม่มีแผลภายนอกเลย อีกทั้งอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดก็มีไม่มาก
  • ความเสี่ยงของการผ่าตัดริดสีดวงทวารหนัก

  • เกิดการติดเชื้อ
  • มีเลือดออก
  • กลั้นอุจจาระไม่ได้
  • มีอาการปวดเวลาปัสสาวะ
  • เวลาทำการ แพทย์ประจำ
  • วันธรรมดา 16.30 น. – 22.30 น.
  • วันหยุด 08.00 น. – 22.30 น.
  • วันหยุด 08.00 น. – 22.30 น.

  • รายละเอียด อัตราค่าบริการ
  • โทร 045-713-123 ,088-594-7320
  • Inbox : samedaysurgery-yasothon
  • ID Line : Semeday
  • footage
  • CONTACT
  • PHONE: 081-073-4327
  • EMAIL : samedaysurgery-yasothon@gmail.com
  • FACEBOOK : Samedaysurgery-Yasothorn
  • www.samedaysurgery-yasothon.com